Skip to main content

Posts

Showing posts from April, 2018

DAY 22 - Shut up! ที่ไม่ได้แปลว่าหุบปาก แล้วแปลว่าอะไร?

DAY 22 : การเดินทางสิ้นสุดที่วันที่ 22  ตลอดระยะทางที่ผ่านมา ทำให้ฉันได้ความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มมากมาย จริงๆแล้วฉันสนใจฝึกภาษาอังกฤษมาตลอด แต่การที่อาจารย์ตั้ง mission 22 วัน มา challenge ตัวฉันและเพื่อนๆนั้น ก็เป็นการช่วยให้ฉันได้กระตือรือร้นพัฒนามากขึ้น นอกจากการพัฒนาทักษะนี้จะได้คะแนนแล้ว ฉันยังได้พัฒนาความรู้ พัฒนาตัวเองอีกเ้วย อาจะถือได้ว่าคะแนนเป็นผลพลอยได้มากกว่า อิ้อิ้  เนื้อหาในส่วนของวันนี้ ฉันได้ศึกษา พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเรื่อง... Shut up! ที่เราได้ยินบ่อยๆเวลาเราเสียงดัง แล้วครูโมโห จะสั่งว่า Shut up! ตามความหมายข้างต้น หมายความว่า หุบปากซะ! หรือแปลว่าเงียบน่า! แต่ในที่นี้ มีความหมายอื่นอีกด้วย ก็คือ ใช้ในการอุทาน มีความหมายว่า "จริงดิ อย่ามาล้อเล่นน่า พูดเป็นเล่นน่า" ตัวอย่างเช่น เพื่อนบอกว่าดาราทักแชทมาหา เราก็สามารถพูดได้ว่า Shut up! ไม่ใช่การสั่งให้เพื่อนหยุดพูด แต่เป็นการบอกว่าอย่ามาล้อเล่นน่า โดยการใช้ Shut up! นี้ต้องใช้กับเพื่อน คนสนิทมากๆเท่านั้น ห้ามใช้กับผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ครู หรือคนที่อายุมากกว่า เพราะมีความหมายเปลี่ยน

DAY 21 - นอกจาก How จะแปลว่าอย่างไรแล้ว แปลว่าอะไรได้อีก?

DAY 21 : วันนี้จะเป็นวันก่อนวันสุดท้ายของการจบการฝึกพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของฉัน อีกแค่ 1 วัน ก็จะครบ 22 ตามที่กำหนดไว้ ตอนนี้ฉันรู้ดีเลยว่าทักษะได้ถูกพัฒนาแล้วจริงๆ พัฒนาการดีขึ้น ทักษะดีขึ้น :) เข้าเรื่องกันดีกว่า... อย่างที่เรารู้กันว่าปกติเราจะใช้ How ขึ้นต้นในประโยคคำถาม แต่ก็มีการนำ How มาใช้ในการอุทานได้ด้วยเช่นกัน โดยจะมีโครงสร้างประโยคดังนี้ "How + ADJ" จะแปลได้ว่า "...มากๆ หรือ...อะไรขนาดนี้" ตัวอย่างประโยคเช่น เราเจอผู้หญิงคนหนึ่งสวยมาก  เราสามารถพูดได้ว่า How beautiful! สวยอะไรขนาดนี้ หรือเจอรถคันหนึ่งดีงามมาก พูดได้ว่า How nice! คือ ดีอะไรขนาดนี้ ดีมากๆเลย อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เราเจอสุนัขตัวหนึ่งน่ารักมาก เราพูดได้ว่า How cute! ซึ่งแปลได้ว่า สุนัขตัวนี้น่ารักอะไรขนาดนี้ น่ารักจริงๆเลย ทำไมน่ารักขนาดนี้ เป็นต้น

DAY 20 - Thanks กับ Thank you ต่างกันอย่างไร?

DAY 20 : อีกเพียง 2 วันเท่านั้น mission ของฉันก็จะ completed แล้ว เย้ๆ ในส่วนของวันนี้ ขอเสนอความรู้ที่ว่าด้วยการขอบคุณ ความแตกต่างในการใช้ Thanks และ Thank you อธิบายง่ายๆ คือ Thanks แปลง่ายๆว่า "ขอบใจ" ในภาษาไทยเราก็มักจะใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ เช่นคุยกับเพื่อน พี่น้อง หรือลูกน้อง ส่วนคำว่า Thank you แปลว่า "ขอบคุณ" ดังนั้นเราจะใช้ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ เช่นคุยกับผู้ใหญ่ คุยกับลูกค้า คำที่เราใช้บ่อย Thank you อาจจะฟังออกไปทางทางการ แต่เมื่อรู้วิธีใช้ Thanks แล้ว เราก็เลือกใช้ได้ตามสถานการณ์นะ

DAY 19 - What นอกจากจะแปลว่าอะไร แปลว่าอะไรได้อีก?

DAY 19 : นอกจาก What จะแปลว่า อะไร ได้แล้ว  ยังแปลว่า ...มาก / จริงๆ ได้อีกด้วย วิธีการใช้ก็คือ "What + ADJ + N" ตัวอยางเช่น What a beautiful day. วันนี้ช่างสวยงามจริงๆเลย อากาศดีมากเลย หรือจะเป็น What a nice car. แปลได้ว่า รถคันนี้ช่างดีจริงๆ แปลได้ทั้งสวยมากๆ และใช้ดีมากๆ หรือ What a cute dog. แปลว่า สุนัขตัวนี้น่ารักจัง สุนัขตัวนี้น่ารักอะไรขนาดนี้ น่ารักมากๆ น่ารักจริงๆ

DAY 18 - I wish กับ I hope ต่างกันอย่างไร?

DAY 18 - We wish you a Merry Christmas. อ่านแล้วคุ้นๆไหม คุ้นแน่นอนสิ เพราะเป็นเพลงท่อนหนึ่งในเพลงวัน Christmas I wish แปลว่า ฉันขอให้...  ตัวอย่างเช่น I wish you a happy birthday. คือ ฉันขอให้เธอมีความสุขในวันเกิดนะ ส่วน I hope แปลว่า ฉันหวังว่า... I hope you're happy. คือ ฉันหวังว่าเธอมีความสุขดี

DAY 17 - ฝรั่งถามประโยคไหน คนไทยชอบงง?

DAY 17 : ฝรั่งถามคำถามอะไร คนไทยตอบคำถามผิดตลอด คนไทยเข้าใจผิดมานักต่อนักแล้ว คือ How are you going? แปลตรงตัวคนไทยมักเข้าใจว่า คุณจะไปยังไง แต่จริงแล้วแปลได้ว่า "คุณเป็นอย่างไรบ้าง คุณสบายดีไหม" How are you going? = How are you? ส่วนอีกประโยคหนึ่งคือ How come? คนไทยอาจเข้าใจว่าถามว่า มาได้ยังไง ความจริงคือหมายความว่า "ทำไม เพราะอะไร" เช่น คืนนี้ฉันไปปาร์ตี้ไม่ได้ เพื่อนเลยตอบกลับมาว่า How come?

DAY 16 - Let's กับ Let ต่างกันอย่างไร?

DAT 16 : ก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังของการพัฒนาทักษะเป็นวันที่ 16 เขาว่ากันว่าหากเราทำอะไรครบ 22 วันได้ การกระทำนั้นจะติดเป็นนิสัย จริงหรือไม่ต้องพิสูจน์ Let's ย่อมาจาก Let us หมายความว่า พวกเรา...กัน หรือให้พวกเรา...เถอะ ตัวอย่างเช่น Let's go! คือ พวกเราไปกันเถอะ Let's study! พวกเราเรียนกันเถอะ อ่านหนังสือกันเถอะ ส่วน Let จะแปลว่า ปล่อย...ไปเถอะ หรือปล่อย... เช่น let me do it by myself. แปลได้ว่า ปล่อยให้ฉันทำด้วยตัวเองเถอะ  Let me go! คือ ปล่อยฉันไปเถอะ และ Let her go! คือ ปล่อยหล่อนไปเถอะ

DAY 15 - เพื่อนเลิกกับแฟน เราควรพูดว่าอะไรดี?

DAY 15 : เวลามีใครเล่าเรื่องหรือข่าวร้ายให้เราฟัง เราสามารถตอบรับหรือตอบกลับ เพื่อแสดงความเสียใจได้ ดังนี้ ง่ายๆเลยก็คือ "I'm sorry to hear that."  หมายความว่า ฉันเสียใจด้วยนะ เสียใจจริงๆที่ได้ยินแบบนั้น "That must be really hard for you." คือมันคงเป็นเรื่องที่ทำใจยากสำหรับเธอ ยากหน่อยนะช่วงนี้ อดทนหน่อยนะ เรายังแสดงความเสียใจได้ด้วยการแสดงน้ำใจได้อีกด้วย เช่น Let me know if there's anything I can do. Call me if you need anything. ทั้งสองประโยคเป็นการแสดงน้ำใจคือถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ โทรหาได้นะ

DAY 14 - I think กับ I thought ต่างกันอย่างไร?

DAY 14 : ครบรอบ 2 อาทิตย์ของการฝึกฝนและการพัฒนาทักษะ ในส่วนของการพัฒนา ก็พัฒนาจริง ฉันได้เรียนรู้การใช้ประโยค คำ และวลีต่างๆในชีวิตประจำวันที่ควรรู้จำนวนหนึ่ง เรียนไปก่อน รู้ไปก่อน เราอาจจะไม่ได้ใช้ความรู้วันนี้หรือพรุ่งนี้  แต่ฉันคิดไว้ตลอดว่า เรียนไว้ อนาคตได้ใช้แน่นอน วันนี้เป็นเรื่องของความคิดล้วนๆ ความแตกต่างอยู่ตรงไหน ใช้ต่างกันไหมไปดู I think... หมายความว่า ฉันคิดว่า... ใช้ในการคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบัน และคาดการณ์ในอนาคต เช่น I think he is gay. คือฉันคิดว่าเขาเป็นเกย์แน่ๆเลย ส่วน I thought... หมายความว่า ฉันนึกว่า...ซะอีก เป็นการใช้ในการเข้าใจผิด เช่น I thought he was gay. แปลได้ว่า ฉันคิดว่าเขาเป็นเกย์ซะอีก (เข้าใจผิด) "ใช้ผิด ชีวิตเปลี่ยนของจริง"

DAY 13 - ถ้า One ไม่ได้แปลว่า 1 จะแปลว่าอะไร?

DAY 13 : One Two Three Four Five... One ข้างบนแปลว่า 1 แต่ถ้าเราใช้ One แบบอื่นละ จะแปลว่าอะไรได้อีก One ไม่ได้แปลว่า 1 เสมอไป One แปลได้ว่า "อัน / ชิ้น / คน"  ทำหน้าที่เป็นสรรพนาม ใช้แทนคำนามได้เลย ตัวอย่างการใช้เช่น This is a good book.  เราสามารถใช้ one แทน book ได้ พูดใหม่ได้ว่า This is a good one.

DAY 12 - ตามเทรนการด่าแบบบุพเพสันนิวาสกันหน่อยดีไหม?

DAY 12 : แปปๆก็สิบสองวันแห่งการพัฒนา ถือว่าเป็นฤกษ์ดีเลยทีเดียวที่ฉันทำได้จริง ฉันหวังว่าในอนาคตเมื่อครบ 22 วันแล้ว ฉันคงมีนิสัยรักการพัฒนานะ วันนี้มาในเรื่องประโยคที่คุณพี่หมื่นแร๊ปด่าแม่การะเกด "วาจาพิกลพิการฟังไม่รู้ความ" แปลไทยเป็นไทยอีกทีคือ "พูดไม่รู้เรื่อง" พูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า You always talk nonsense! "จิตใจหยาบกระด้าง" ประมาณว่า "ไม่มีหัวใจ" พูดได้ว่า You're so heartless! "ไม่เอางานเอาการ ขี้คร้านตัวเป็นขน" แปลเป็นไทยปัจจุบันสั้นๆคือ "ขีเกียจ" สามารถพูดได้ว่า You're super lazy! คือเธอมันขี้เกียจสุดๆ ดูละครอย่างไรให้ได้ประโยชน์ เราต้องดูแล้วคิดประโยคเป็นประโยคภาษาอังกฤษไปด้วย ไม่ต้องถึงกับคิดให้ได้ทุกประโยค แค่บางคำก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนตัวเองอีกทางหนึ่งแล้ว

DAY 11 - รำคาญคนอื่นต้องพูดว่าอะไร?

DAY 11 : ตอนนี้วันที่ 11 ก็ถือว่าฉันได้เดินทางมาครึ่งหนึ่งแล้วของการพัฒนาทักษะตัวเอง เขียนบ้ลอคไปเขียนบล้อคมาก็เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ มันก็ไม่ได้แย่ การทำบล้อคมันก็สนุกดี เหมือนได้เล่าอะไรให้คนอื่นฟัง เขาได้อัพเดตชีวิตเรา แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเข้ามาอ่านบ้างนะ อาจจะเป็นประโยชน์กับเขาก็ได้ สู้ๆนะ พัฒนาสกิลภาษาอังกฤษไปพร้อมกันนี่ล่ะ เย่! ถ้าหากเรารำคาญใครซักคน ควรพูดว่าอะไรล่ะ เริ่มกันเลย ประโยคแรกก็คือ You're so annoying. แปลได้ว่า เธอมันน่ารำค๊าญน่ารำคาญ โดย annoying แปลว่า น่ารำคาญนั่นเอง ต่อไปคือ Stop bothering me! คือเลิกยุ่งกับฉันได้ไหม หรืออาจแปลได้ว่าหยุดมารบกวนฉันสักที สุดท้ายคือ I don't want to talk to you anymore. anymore แปลว่า อีกแล้ว ทั้งประโยคจึงแปลได้ว่า ฉันไม่อยากจะพูดกับเธออีกแล้ว ถ้าไม่อยากพูดกับเขาตรงๆ เราก็ต้องใจเย็นๆ แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็จัดไปค่ะ อิ้อิ้

DAY 10 - ตอบคำถาม ทำไมถึงยังอยู่เป็นโสด?

DAY 10 : วันที่สิบ อีกวันเดียวก็จะเดินทางมาถึงครึ่งหนึ่งแล้วของ 22 วันที่ตั้งเป้าหมายไว้ ถ้ามีฝรั่งมาถามเฮ้ยู ทำไมยังโสดล่ะจ๊ะ สาเหตุของคนโสด มีอะไรกันบ้าง ไปดูกันเลย "I'm single because..." ตามด้วย เหตุผลแรก I'm picky. หมายความว่า ฉันเรื่องมาก เลือกเยอะ เลือกมาก  เลือกไปเลือกมา สรุปฉันไม่เหลือใครเลย ต่อไปก็ตอบได้ว่า Nobody wants me. ง่ายๆเลยคือไม่มีใครเอานั่นเอง หรือจะเป็น I'm not ready to be in a relationship. ยาวหน่อย แต่แปลว่าฉันยังไม่พร้อมที่จะมีแฟน เหตุผลของคนโสดมีมากมายจริงๆ  หลายคนถึงยังอยู่เป็นโสดไงล่ะ

Day 9 - ประโยคแซ่บๆสำหรับคนโสดมีอะไรบ้าง?

DAY 9 : ต้องสตรองแค่ไหน ถึงจะยอมรับความโสดนี้ได้ ตอบแบบคนโสดและสตรองมาก ตอบแบบไหนได้บ้าง มาดูกัน I'm fine being single. หมายความว่า โสดน่ะสบ๊าย I'm single and I'm happy with it. คือ ฉันโสดนะ แต่ฉันก็มีความสุขสุดๆ และประโยคสุดท้ายสำหรับคนโสดไว้หลอกตัวเองคือ I love being single. ก็คือฉันรักมากที่จะอยู่เป็นโสด สตรองเอาไว้ ตอบให้เต็มปากเต็มคำ ว่าเรามีความสุขกับความโสด ไม่ต้องโสดประชดใคร เราเข้าใจตัวเองดีที่สุด

DAY 8 - ฝรั่งถามทาง เอาตัวรอดอย่างไร?

DAY 8 : หลังจากผ่านไป 1 อาทิตย์ก็ค้นพบว่าภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ยากอะไร แค่เราเรียนรู้กับมันไปเรื่อยๆ เรียนรู้ทุกวันแค่นั้นเอง วันนี้จะเป็นการเอาตัวรอด จากการจู่โจมของฝรั่งถามทาง ทุกคนคงเคยเจอกันแล้ว แต่เราก็อย่าตกใจไป ไม่รู้หรือตอบไม่ถูกไม่เป็นไร แค่จำประโยคเหล่านี้ไว้ แล้วนำไปใช้ให้ถูกก็รอดตัวแล้ว ประโยคแรกเราควรขอโทษเขาไปก่อนเลยที่เราไม่รู้ คือ I'm sorry. แล้วตามด้วย "I'm from out of town." แปลว่า ฉันไม่ใช่คนแถวนี้ "I don't know the city very well." คือ ฉันไม่ค่อยรู้จักเมืองนี้ดีซักเท่าไหร่ หรือจะเป็น "I don't know where it is." คือ ฉันไม่รู้จักว่าที่นั่นคือที่ไหน จากนี้ไปคงไม่ต้องกลัว ไม่ต้องวิ่งหนี ตอบแบบข้างบนได้เลย

DAY 7 - ทักทายแบบไม่ใช้ How are you? ต้องพูดว่าอะไร?

DAY 7 : ครบรอบ 1 สัปดาห์ของการพัฒนาแล้ว ส่วนมากก็จะเป็นประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งนั้น รวมถึงการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วย หากเราต้องการทักทาย ถ้าไม่ใช้ How are you? แบบเชยๆ เราก็สามารถพูดแบบอื่นได้คือ ประโยคแรกคือ How are things? How's it going? ค่อนข้างจะ simple ความหมายก็จะคล้าย How are you? ก็คือเป็นอย่างไรบ้าง เลือกใช้ได้หลากหลาย แต่ถ้าเราพูดกับเพื่อนสนิท ก็ทักทายได้ว่า "What's up!" (วอทซัพ) แต่ถ้าทักทายคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานก็อาจจะใช้ว่า "้How have you been?" ก็คือ ไม่เจอกันนาน ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง แต่เน้นว่าต้องเป็นคนรู้จักเท่านั้น

DAY 6 - Chill Chill ที่คนไทยชอบพูดคืออะไร?

DAY 6 : วันที่หกกับการฝึกฝนและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวเอง บางคำคนไทยเอาคำเขามาก็ใช้กันไม่ถูกต้อง คนไทยชอบพูดว่า ชิวชิว หรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษคือ Chill Chill จริงๆแล้วฝรั่งเขาจะพูดว่า Chill คำเดียว เวลาเขาฟังเราพูด เขาก็จะงงว่า เบิ้ลคำทำไม ยกตัวอย่างการใช้เช่น I'm gonna go chill with friends tonight. ไม่ใช่ go chill chill XXX ผิดนะแบบนี้ คำเดียวก็พอแล้ว ส่วนการออกเสียงต้องออกเสียง L ออกเสียงว่า "ชิล" ไม่ใช่ "ชิว" ภาษาของเขา เราเอาไปพูดกับเขา ก็ต้องพูดให้ถูกด้วย จะได้เข้าใจตรงกัน อย่าใช้แบบผิดๆเลย

DAY 5 - อุทานอะไรได้บ้าง ที่ไม่ใช่แค่ OMG! ?

DAY 5 : วันที่ห้า นอกจากประโยคบอกเล่าแล้วก็ยังมีประโยคที่ใช้อุทานเพิ่มขึ้นมา ไม่ได้มีแค่ Oh my god! ยังมีคำอื่นอีก  สำหรับอันแรก "What the hell !?" แปลว่า "อะไรกันเนี่ย"  ตัวอย่างเช่น What the hell are you doing !? ซึ่งหมายความว่า เห้ยทำอะไรกันเนี่ย!? "Dang it!" ซึ่งผันมากจากประโยค "Damn it!" ซึ่งไม่สุภาพ เมื่อเป็น Dang it! เลยดูสุภาพมากขึ้นนิดหน่อย  แปลว่า "โธ่เว้ย" ไม่ได้ดั่งใจเลย ไม่พอใจ ไม่ตรงกับความต้องการของเราเลย ใช้คำอุทานได้ ไม่จำเจ ดูเก๋ เริ่ดสแมนแตนขึ้นค่าา

DAY 4 - ใช้ very จนดูเชย ใช้อะไรมาแทนดี?

DAY 4 : วันที่สี่ มีการเปลี่ยนแปลงในการพูดบ้างแล้ว ก็ต้องมาพัฒนากันต่อ การพูดจะดีขึ้นได้ เราต้องฝึกฝนบ่อยๆจนเป็นนิสัย นอกจาก "very" ที่แปลว่ามากแล้ว ยังมีคำอื่นอีก เราสามารถใช้คำว่า "as hell" แปลได้ว่า "มากโครตๆ" แต่จะเป็นภาษาพูดที่เราใช้ได้แค่กับคนสนิทอย่างเช่นเพื่อน  เพราะมันอาจจะดูไม่ค่อยสุภาพสำหรับผู้ใหญ่ โดยใช้แบบนี้คือ ADJ + as hell ตัวอย่างเช่น He is hot as hell. แปลว่า เขาฮอตมากโครตๆ บางคำเราต้องใช้ให้ถูกตามกาลเทศะด้วย ไม่ใช่อยากใช้อะไรก็ได้ เลือกใช้ให้ถูก เพื่อความสุภาพดูดีของตัวเองนะคะ

DAY 3 - คนไทยชอบออกเสียงอะไรผิดบ้าง?

DAY 3 : วันที่สามของการพัฒนาทักษะ เริ่มทำให้มีสาระเพิ่มขึ้นในสมองแล้ว จะคุยกับฟารังคีก็ไม่ตกยุค คุยได้ใช้เป็นเบื้องต้นแล้ว ภาษาอังกฤษมีการออกเสียงแตกต่างจากภาษาไทยบางส่วน มาดูกันว่าคำไหน ประโยคไหนบ้างที่คนไทยชอบออกเสียงผิด ต้องจำไว้ว่า "ออกเสียงผิด ชีวิตเปลี่ยน  ความหมายเปลี่ยน" ท่องไว้ในใจ จะได้ไม่ทำผิดอีก I'm tired. "ฉันเหนื่อย" หลายคนมักออกเสียงว่า "แอมทาย/ไท"  ออกเสียงผิดไป ความหมายเปลี่ยนเป็น ฉันเป็นคนไทย ซึ่งผิด XXX ที่ถูกคือต้องออกเสียงว่า "แอมทายเอิร์ด" ต้องมีทั้งเสียง R และเสียง -ed

DAY 2 - ถ้าไม่ตอบว่า I'm fine. จะตอบว่าอะไรดี?

DAY 2 : บทเรียนใหม่ในชีวิตเกิดขึ้นได้ทุกวัน ในส่วนของวันที่สอง เป็นเรื่องต่อจากวันแรก คือ การตอบคำถามว่าสบายดีไหม มีการตอบว่า "ฉันสบายดี" ได้หลายรูปแบบ นอกจาก "I'm fine." ก็คือ I couldn't be better. ซึ่งหมายความว่า "คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว" I'm doing great. หมายความว่า "ดีสุดๆไปเลย" หรือจะตอบง่ายๆสั้นๆได้เลย คือ "Good!" แปลง่ายๆคือ "ก็ดี" ความหมายเดียวกัน แต่เราสามารถตอบได้หลายรูปแบบ ถ้าเบื่อที่จะตอบว่า "I'm fine." ก็สามารถลองใช้รูปประโยคแบบอื่นได้จ้า

DAY 1 - ถ้า Fine ไม่ได้แปลว่าสบายดี จะแปลว่าอะไรได้อีก?

DAY1 : บทเรียนแรก เริ่มต้นด้วยคำง่ายๆที่เราใช้เป็นประจำ นอกจากจะแปลว่า "สบายดี" ก็ยังมีความหมายอื่นด้วย ถ้าเราใช้คำว่า "Fine!" ในเชิงประชดประชัน ก็จะแปลว่า "เออได้!" ตัวอย่างเช่น แฟนมาขอเที่ยว แล้วเราไม่อยากให้ไป  เราก็สามารถตอบไปว่า Fine! ได้เช่นกัน ไม่ได้หมายความว่าไปได้เลยค่ะที่รัก  แต่เป็นการประชดว่า อยากไปก็ไปสิ! ก็ได้! ไปเล้ย!

THE BEGINNING :)

วันแรกก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงการพัฒนาทักษะให้กับตัวเอง เริ่มต้นด้วย... "การหาสิ่งที่ตนเองต้องการจะทำและต้องการจะพัฒนาจริงๆ" แล้วฉันก็ค้นพบว่า "ภาษาอังกฤษ" นี่ล่ะที่ฉันควรพัฒนาจริงจังซักที ระยะเวลา 22 วันในการเริ่มต้นพัฒนานี้ จะเป็นยังไงบ้าง ต้องรอดูกันนะคะ "ภาษาอังกฤษไม่ได้ง่าย แต่มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด" แต่ฉันก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อตัวเอง สู้ๆนะตัวฉัน :) 22 วัน 22 เรื่องที่จะเรียนรู้ และพัฒนาความรู้ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตัวฉัน